วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558

(Review) Cinderella - ซินเดอเรลล่า - ดีกรีทะยานฟ้า กับเนื้อหา... เหมือนเดิม


CINDERELLA
ซินเดอเรลล่า

พูดถึงหนังเรื่องนี้ ผมว่าไม่มีใครไม่รู้จักแน่ๆ หรือถ้าจะไม่รู้จัก ก็คงน้อย แบบที่ว่าน้อยมากๆ เพราะทุกคนน่าจะรู้จักซินเดอเรลล่าผ่านอนิเมชั่นของ ดิสนีย์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นใน 1950 รอบนี้กลับมากับเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งน่าจะบ่งบอกถึงการทำรายได้ของ Maleficent ในปีที่แล้ว สำหรับผู้ที่อยากรู้ว่ามันจะคุ้มเงินคุณไหม ถ้าคุณจะควักตังค์ในกระเป๋าไปจ่ายค่าตั๋ว?

 ต้องบอกเลยว่า ผมคาดหวังกับเนื้อหาไว้มาก เพราะมันตั้ง 112 นาที ตีไปสัก 2 ชั่วโมงเลยแล้วกัน ผมก็โอ้โห 2 ชั่วโมงนี่มันต้องมีอะไรเยอะแน่ๆ แค่เนื้อเรื่องที่เราเห็นในอนิเมชั่น มันคงยังน้อยไป มันต้องตีแผ่ตัวร้าย ว่าทำไมถึงร้าย ขยายเรื่องราวนังซินกับเจ้าชาย ได้เห็นอะไรอลังๆแน่นอน และที่ผมพูดมานี้คุณได้เห็นแหละครับ แต่ว่ามันก็ ..... อืม ..... ยังเยอะไม่พอ 

 (เวทย์มนตร์เสื่อมคลายตอนเที่ยงครืนก็ยังอยู่เหมือนเดิมนะจ๊ะ)
 ถ้าจะถามว่าเนื้อเรื่องเป็นยังไง ผมก็ตอบได้เลยว่า ก็เหมือนในอนิเมชั่นนั่นแหละ แค่เพิ่มความผู้พันธ์ระหว่างนังซินกับพ่อแม่ ที่เราจะได้เห็นตรงนี้มาเพิ่มเติม ความรักของนังซินที่มีป่าปี๊และหม่ามี้ แม่เลี้ยงใจร้ายเล่าเรื่องของตัวเองเล็กๆน้อยๆ นังซินพบกับเจ้าชายครั้งแรกเมื่อไหร่ บวกกับคาแรคเตอร์ที่มีรายละเอียดมากขึ้น


ต้องบอกว่าภาคนี้เจ้าชายของเราขี้เล่นกว่าเดิม ใส่รายละเอียดของตัวละครเข้าไปมากกว่าเดิม เพราะในอนิเมชั่นคาแรคเตอร์ของอีเจ้าชายมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ โผล่มาและจากไป เต้นรำแล้วตามหานังซินตอนจบ แค่นั้น แต่กับเวอร์ชั่นคนแสดง เขาใส่ความเป็นคนจริงเข้าไป เพราะถ้าจะให้เหมือนในอนิเมชั่น ชาวบ้านคงร้องโห่แล้วปาป๊อบคอร์นใส่จอโรงหนัง 

ส่วนแม่ซินเดอเรลล่าของเรา ก็ใส่ความอินโนเซนต์ น่ารักน่าเอ็นดูเข้าไป ทำให้ไม่ดูเป็นอีทนร้อนทนหนาว รับได้ทุกสถานการณ์ยิ้มสู้โลกเหมือนในอนิเมชั่น แถมเจ๊แกยังรักสัตว์ทุกประเภทเหมือนเดิม

ส่วนตัวละครที่เหลือก็นิสัยคล้ายเดิม แม่เลี้ยงเองก็ใส่รายละเอียดมากขึ้น ใส่ความรู้สึกเพิ่มเข้าไป ไม่ใช่แค่ทำหน้าใจร้ายใช้งานอย่างเดียว มีมุมตัวร้ายในละครอยู่เหมือนกัน 


สำหรับ CG ผมต้องบอกเลยว่ามันดูง่ายมากว่าอันไหนฉากจริงหรือปลอม เพราะมันจะดูสมจริงน้อยพอตัว Greenscreen ก็ดูจะปาไป 70-80% แล้วกระมัง (อันนี้เดานะ ไม่รู้ 555) ส่วนพวกตัวสัตว์อะไรงี้ก็ใช้ CG แทบทั้งหมด จะเว้นก็ตอนนางเอกพระเอกขี่ม้า แค่นั้นแหละ

สำหรับเรื่องนี้ลิลลี่ เจมส์ หน้าอกบึ้มดี ผมขอชมตรงนี้เลย (อ่าว ไม่เกี่ยว)

ความคาดหวังของผม ผมมองว่า 2 ชั่วโมงนี่ คงทะลุโปร่งไปยันชีวิตหลังแต่งงาน ต่อยอดไปจากเนื้อหาเก่า โดยมีเนื้อเรื่องที่ดีกว่าภาคต่อของอนิเมชั่น แต่เปล่า มันคือเนื้อเรื่องแบบอนิเมชั่น แต่มาขยายบางส่วนเพิ่มขึ้นอีกหน่อยต่างหาก และมันยังใส่ไม่พอ ผมยังอยากให้เขาเพิ่มเบื้องหลังชีวิตของแม่เลี้ยงและลูกๆ ให้มันได้ฟิลทรหด และดูมีความน่าสงสารมากกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะเธอเองก็เล่าเรื่องของตัวเธอที่มันดูทรหด แต่ถ้าใส่วิดีทัศน์ที่เป็นภูมิหลังไปด้วยน่าจะดีกว่านี้ เจ้าชายเองก็ควรรักกับนางซินให้มันมีความสมเหตุสมผลมากขึ้นหน่อย จริงๆที่มีก็ดีแล้ว แต่ยังอยากให้ดีกว่านี้อีก ก็ขอสรุปคะแนนเลยแล้วกันครับ

Mad Score! : 6.75/10
ถือว่าไม่แย่ แต่ควรใส่อะไรให้มากกว่านี้อีก



 

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

(Review) Spirits War - ไพรดิบ - หนังไทยไม่ดัง แต่ถ้าลองอ่านบทความนี้สักครั้ง รับรองว่าอยากดู


Spirits War
ไพรดิบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือภาพยนตร์ที่ไร้การพูดถึงเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างกับภาพยนตร์อีกหลายๆเรื่องในปีเดียวกัน อย่างเช่นพวก "หมวยจิ้น ดิ้นก้องโลก" หรือ "ศรีธนญชัย555+"
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กวาดรายได้ไปได้ไม่เท่าไหร่ สักพักก็ถูกถอดออกจากโรงหนัง แต่ถ้าเทียบกับ 2 เรื่องด้านบน ก็ยังถือว่าอยู่ในโรงยาวกว่า หลายคนอาจถามว่าทำไมหนังถึงถูกถอด มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? สาเหตุก็คือ มันไร้ซึ่งการโปรโมท ว่าง่ายๆคือแทบไม่มีการโฆษณา (คือมีเล็กน้อย) ส่วนหนังดีหรือไม่ดีนั้น มาอ่านที่ตัวบทความกันดีกว่าครับ :)
 
พูดได้ว่า ตอนผมเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำใส่ในเว็บ Major Cineplex ผมก็อยากดูเอามากๆ ด้วยความเป็นคนที่ชอบดูหนังไม่เหมือนใคร คือชอบอะไรที่มันมี CG ห่วยๆ แต่มีเยอะ (แต่จะขอบอกว่า CG เรื่องนี้เยอะจริงๆ และจะขอไปสานธยายต่อด้านล่าง รับรองว่าจะต้องแอบชื่นชมมัน) ผมเลยดูตัวอย่างหนังของมันซ้ำไปซ้ำมา แต่ตอนนั้นยังอยู่ที่แดนแฮมเบอร์เกอร์เลยยังดูไม่ได้ พอกลับมาแดนต้มยำกุ้งก็ว่าจะดู แต่ก็ขี้เกียจไปจนมันออกโรง แว็บแรกที่เห็นมันไม่อยู่ในโรงแล้วก็ตกใจมาก อ่าวเฮ้ย!! ออกเร็วจังวะ!! แต่ผมก็รอจนมันออกแผ่น แล้วรีบไปซื้อที่ 7-11 โดยทันที 


ต้องบอกก่อนว่าตัวเจ้าของบล็อคหรือตัวผมนั้น ดูเรื่องนี้ไปกว่า 3 รอบ! (2 รอบแรกดูไม่จบสักที พึ่งมาดูจบวันที่เขียนบทความนี่แหละ 55555)  เพราะงั้น วันนี้เลยตั้งใจดู ม้ากกกก มากกก และผมเองก็มั่นใจด้วยว่า ผมจะเป็นหนึ่งในไม่กี่บล็อค หรือหนึ่งในไม่กี่ที่ ที่มา Review หนังเรื่องนี้ เอาล่ะครับ บ่นมายาวมากๆ ยาวที่สุดในบรรดาบทความที่เขียนมา เรามาเริ่มกันเลยก็แล้วกัน 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ น้อยคนจะรู้จัก แต่ถ้าลองไปดูตัวอย่างหนัง รับรองพวกคุณ อ๋อออ กับนักแสดงแน่นอน เพราะเรื่องนี้นำทัพนักแสดงโดย กอล์ฟ อัครา อมาตยกุล , แพร พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ , แมน ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์ หรือแม้กระทั่ง สมชาย ศักดิกุล! (เอาจริงลุงสมชายไม่ค่อยน่าตื่นเต้นหรอก แกโผล่ในหนังไทยบ่อยอยู่แล้ว) แต่ถึงจะเอานักแสดงดีๆมาก็เถอะ บทพูดในหนังมันกลวง บวกกับการแสดงที่ไม่ถึงขั้น เหมือนนักแสดงไม่ค่อยเข้าใจตัวหนัง และไม่รู้จะแสดงออกมายังไง เลยทำให้ตรงนี้โบ๋ไป แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นดูไม่ได้ แต่มันก็ทำให้อารมณ์เสียในระดับหนึ่ง (แต่ต้องบอกก่อนว่าดาราสมทบหน้าใหม่ที่มาเล่นในเรื่องนี้ก็หน้าตาดีอยู่ 1-2 คน) 


ต้องบอกก่อนว่า ดูหนังเรื่องนี้ ไม่กะเอาพล็อตดีๆอยู่แล้ว เพราะพล็อตเองมันก็ยังสมเหตุสมผลไม่พอ พล็อตจริงๆเลยคือ พ่อพระเอกที่เป็นมนุษย์ไปสมสู่กับแม่พระเอกที่เป็นภูต พระเอกออกเป็นครึ่งคนครึ่งภูตซึ่งน่าอับอาย เนื้อเรื่องมีตัวร้ายที่เป็นภูตแต่แฝงอยู่ในกลุ่มนักบวช (คือเป็นนักล่าภูต) แล้วยุแยงให้มนุษย์กับภูตตีกัน แม่และพ่อของพระเอกถูกตามล่า แม่พระเอกตาย พ่อพระเอกถูกจับตัว (ตอนเริ่มเรื่องไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าโดนจับตัว อยู่ๆก็ข้ามไปเลย มารู้ว่าโดนจับตัวในรูปตอนจบ) พระเอกเลยไปอยู่กับพ่อบุญธรรมซึ่งเป็นพญานาค แล้วเลี้ยงดู อยู่ๆพญานาคก็จำศีล พระเอกต้องไปฆ่าไอ้ตัวร้าย เลยต้องหายามาปลุกพญานาคที่เลี้ยงตัวเองมา แต่ตอนจบจะบอกว่า ขนาดมันไม่จำเป็นต้องไปหายาแล้ว
 มันก็ยังจะไปหา โคตรไร้เหตุผลเลยจริงๆ 


หลายคนเริ่มพูดในใจกันแล้วว่า แกหยุดบ่นแล้วบอกมาสักทีว่า CG มันเป็นยังไง! โอเคครับ ต้องขอบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ใช้ CG ไปกว่า 80% ของตัวหนัง พูดง่ายๆคือฉากที่คุณเห็นแทบทุกฉากใช้ Green Screen ซึ่งในแผ่นของตัวหนังจะมีฉากเบื้องหลังเล็กน้อย (เล็กน้อยมากๆ) ให้ดูกัน ซึ่งเห็นได้ว่า โอ้โห CG เยอะจริงๆ แต่ของบอกก่อนว่าไม่ได้ทำกันแบบง่ายๆกะโหลกกะลาเหมือนของช่อง 7 หรอกนะ มันก็มีเล่นเทคนิคเหมือนกัน มีการเล่นมุมให้ตรง จุดผิดพลาดเรียกได้ว่าน้อย แต่ว่ามันก็ยังดูกิ๊กก๊อกไปอยู่ดี 

มีการเล่นเทคนิคนึงที่ผมชอบมากๆ มันอาจจะไม่ได้อลังการอะไร แต่ผมก็ถือว่ามันคือก้าวใหญ่ๆของวงการหนังไทย คือเจ้าตัวประหลาดที่หัวเป็นสัตว์ประหลาดแต่ตัวเป็นคนที่ผมได้ใส่ภาพไว้ด้านบน ภาพนั้นเขาใช้ CG แต่ส่วนหัว แล้วตัวก็ใช้คนปกติ ซึ่งผมมองว่าเอ้อ ไทยเราทำได้เหมือนเขาละเว้ย เพราะปกติจะใช้ CG แม่_ทั้งตัวไม่สนห่_ไรเลย


แต่ที่บอกไปว่า "เพราะปกติจะใช้ CG แม่_ทั้งตัวไม่สนห่_ไรเลย" ก็ใช่ว่าไม่มีฉากแบบนั้น ดูได้จากภาพด้านบน นั่นคือหนึ่งในฉากอย่างที่ว่าไป คือตอนจบที่พระเอกสู้กับตัวร้าย ทั้งสองแปลงร่างแล้วสู้กัน ฉากนั้นใช้ 3DCG ไปเลย แล้วมันไม่ได้ดูสมจริง แต่มันดูเป็น 3DCG ที่ใช้โปรโมทเกมจีนระบบกากๆที่เห็นกันบ่อยๆในไทย 


ไม่พอแค่นั้น เพราะแค่นั้นคงยังไม่พอ ในเรื่องยังมีการใช้ลายเส้นการ์ตูนในการเล่าเรื่องอีกด้วย นับว่าเป็นการลดทุนแบบง่ายๆไปในตัวเลยทีเดียว ซึ่งเราก็เห็นการทำแบบนี้อยู่บ่อยๆในหนังไทยบางเรื่อง (ซึ่งก็มีหลายเรื่อง) 

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงชอบการทำเรื่องแบบนี้ เพราะไม่ได้เห็นบ่อยๆในวงการหนังไทย ผมเองก็ยังคงรู้สึกดีกับหนังที่ไม่มีอะไร และไม่คิดจะมีอะไรต่อไป แบบนี้เรื่อยๆ สำหรับใครที่อยากซื้อ มีขายอยู่ทั่วไป แผ่นละ 129 บาทครับ หลายคนอาจบอกว่าราคาเท่านี้ซื้อ Mortal Instrument ดีกว่า แต่ต้องขอบอกก่อนว่า คนเราต้องหัดลองของแปลกเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเองบ้างครับ 

Mad Score! : 3.75/10
ดูเอาฮาดูได้ อย่าจริงจังเลย

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

(Review) The Tale of Princess Kaguya - จิบลิเป็นอย่างไหน จิบลิก็ยังคงเป็นเช่นนั้น


The Tale of Princess Kaguya
เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่

ภาพยนตร์เรื่องไม่ใหม่ของ Studio Ghibli ที่พึ่งนำมาฉายในบ้านเรา
ด้วยศิลปะการทำภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ดึงดูดคนดูมาตลอด ผมจึงต้องจ่ายเงินอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

หลังจากผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายครั้ง ว่าจะดูก็ไม่ได้ดูสักที เมื่อวานนี้ (15 ม.ค. 57) ผมกับพี่จึงตกลงกันว่าจะดูเรื่องนี้ ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนดูผมเหม่อค่อนข้างบ่อย แต่ผมก็ไม่ได้พลาดรายละเอียดของหนังแม้แต่น้อย เอาล่ะครับ เรามาดูข้อดีข้อเสียกันเลยดีกว่า


มาเกริ่นเรื่องคร่าวๆก่อนละครับ มันเริ่มเรื่องตามตำนาน ก็คือชายตัดไม้ไผ่เข้าไปตัดไม้ในป่า แล้วพบก็หน่อไม้ประหลาด ที่อยู่ๆก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดหน่อไม้ก็เปิดกลีบขึ้นมาพร้อมกับหญิงสาวข้างใน ชายตัดไม้เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์ให้มา พร้อมเรียกหญิงสาวว่าเจ้าหญิง เธอเปลี่ยนจากร่างคล้ายตุ๊กตา (ตามรูปภาพด้านบน) เป็นทารก และเติบโตขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว

เรื่องราวดำเนินถึงชีวิตของเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ การพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าทึ่งคือการทำให้เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ขยายเป็นอนิเมชั่นได้ถึง 2 ชั่วโมง 17 นาที! แต่ความยืดเยื้อของเนื้อเรื่องเองก็ยังมี เช่นเดียวกับตอนที่ผมดู The Wind Rises เมื่อช่วงกลางปี มีความยืดเยื้อที่ทำผมแอบหาว แต่มันก็อุดมไปรวยรายละเอียด ที่แม้จะหาวไปบ้าง ก็หยุดแหกตาดูไม่ได้ 


ลายเส้นที่สร้างมาจากสีน้ำของเรื่องนี้ บางคนอาจมองว่ามันไม่สวยบ้าง ดูรายละเอียดแปลกๆบ้าง ดูลวกๆบ้าง คำพูดเหล่านี้ ต้องลองไปดูเองครับ แล้วจะรู้ว่า ความตั้งใจในการใส่รายละเอียดของเรื่องนี้มันมากมายจริงๆ อนิเมชั่นที่อาจจะดูหยาบของ Studio Ghibli มันคือเอกลักษณ์ที่สวยงาม 

มันไม่จำเป็นต้องลื่นไหลสไลเดอร์เหมือนอนิเมชั่นฝรั่ง แต่เขาจะใส่รายละเอียดกับทุกๆฉาก จนเราไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ มันสื่ออารมณ์ออกมาได้ดี แสงสีของเรื่องกลบความมืดในโรงหนังไปเลย แทบไม่ต้องคิดถึงเลยว่า ตอนนี้ข้างนอกมันกี่โมงแล้ว 


ตอนดูเรื่องนี้ หน้าตาตัวละครบางตัวเห็นแล้วนึกถึงมู่หลานเลยทีเดียว มานั่งดูไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมบางคนถึงเรียกสตูดิโอนี้ว่า Disney แห่งญี่ปุ่น ถึงมันจะมีบางส่วนที่คล้ายกัน เพราะองค์ประกอบเขาดีเหมือนกัน แต่ผมว่ายังไง Ghibli ก็คือ Ghibli 

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้ต้องทำให้ยาวด้วยล่ะ? ตอนผมนั่งดูผมก็คิดนะครับ มันตัดให้เหลือชั่วโมงครึ่งก็ได้ หนังมันยังได้ใจความอยู่ ไม่ขาดหายมากจนเกินไป ซึ่งนี่แหละครับ นี่เลย ที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันไม่เหมือนใคร เพราะว่ามันใส่รายละเอียดทุกอย่างลงไปเลย คนที่ไม่ได้ชอบดูหนังอะไรขนาดนั้น ไม่ได้สนใจเรื่องรายละเอียด หรือ องค์ประกอบขนาดนั้น ก็อาจจะเบื่อไป แต่ถ้าคุณชอบดูเรื่องรายละเอียด คุณจะตกใจเลยว่า เฮ้ย ทำไมมันใส่เข้าไปเยอะแล้วลงตัวขนาดนี้วะ! ทุกฉากจะถูกขยายตีแผ่มา ให้คุณได้เข้าใจอารมณ์มากที่สุด


เรื่อง Soundtrack ใครที่ดูภาพยนตร์ของค่ายนี้บ่อย จะรู้ว่าหนังมันเน้นความเป็นจริงมากกว่า มันจะได้ใส่เพลงตลอดทั้งเรื่องขนาดนั้น แต่ใส่เรื่องของ Sound Effect ที่สมจริงทุกขั้นทุกตอนมากกว่า แต่ถ้าจะให้พูดถึงเพลงในเรื่องล่ะก็ เพราะมากเลยล่ะ 

แต่ในความลงตัวเอง ก็ยังมีความไม่ลงตัวอยู่บ้าง เราย่อมรู้ๆกันอยู่ว่า เรื่องเล่าหรือนิทาน ความรักจะให้มันโรแมนติคก็คงทำยาก เพราะผมแทบจะไม่เห็นเรื่องไหนมันโรแมนติคแบบลึกซึ้งสักที หรือถ้ามันมี ผมเองก็ยังไม่เคยได้สัมผัส เช่นเดียวกับตอนผมดูหนังจีนที่สร้างมาจากตำนานรักต่างๆนาๆ มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกว่า นี่พวกมึงรักกันง่ายไปไหม แต่เรื่องเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ ก็ไม่ได้เรียกว่ารักง่าย แต่เหมือนกับเป็นความผูกพันธ์ระหว่างนางเอกกับพระเอก แต่เหมือนเขาจะไม่ได้มาเน้นตรงนี้สักเท่าไหร่ มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่า อย่างน้อยถ้าแหกกฎของเรื่องเล่า แล้วใส่ความดราม่าตรงนี้อีกนิดนึง ไม่ต้องไปเน้นมันเยอะเหมือนหนังรักหรอก แค่ทำให้รู้สึกว่าความรักของนิทานมันมีอะไรให้เห็นมากกว่าสิ่งที่คนเขาเล่ามา


ท้ายนี้ต้องขออภัยถ้าผมรีวิวได้ไม่ตรงจุด หรือยังพูดได้ดีไม่พอ อันที่จริงผมก็ดูเรื่อง Ghibli มาพอสมควร แต่ก็ไม่เคยได้ดูจริงจังสักเรื่อง เลยอาจทำให้แผ่หนังเรื่องนี้ออกได้ไม่มาก เอาเป็นว่าขอให้คะแนนเลยแล้วกันครับ

Mad Score! : 7.5/10
คุ้มเงิน คุ้มใจ ไม่เสียดาย











วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

(Review) Boyhood - บอยฮูด - 12 ปีแห่งการถ่ายทำ นี่แหละ รีลไทม์


BOYHOOD
บอยฮูด

หนังที่โปรโมทว่าถ่ายทำถึง 12 ปี
ได้ metascore ถึง 100/100 มันบ้าไปแล้ว!!
หลายคนคงเคยคิดกันเล่นๆ ว่าเฮ้ย หนังทั่วไป เวลาตัวละครมันจะอายุมากขึ้น มันจะโตขึ้น มันจะเปลี่ยนช่วงเวลาของหนัง มันก็เปลี่ยนคนแสดงไปเลยเป็นเรื่องปกติ แต่มันจะมีสักเรื่องไหมนะ ที่ไม่เปลี่ยนคนแสดงเลย?


ถึงภาพยนตร์เรื่องนี้จะโฟกัสไปที่ชีวิตของเด็กน้อย เมสัน แต่มันก็ใช่ว่าเด็กคนนี้เป็นคนเดียวที่เล่นตลอด 12 ปีนี่? ทุกคนที่เป็นตัวละครเอกในเรื่อง เราจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาตลอด ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่สาว หรือบุคคลรอบข้าง บางตัวละครเข้ามาแล้วผ่านไป แต่นี่แหละ ก็คือความสมจริง ที่หนังเรื่องอื่นทำไม่ได้


แนวเรื่องของเรื่องนี้ ไม่ได้มีอะไรตื่นเต้น ขนาดนี้ที่คุณจะรู้สึกว่า ว้าว มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน แต่มันคือหนังอินดี้ ที่ทุกคนที่อยู่ในวงการหนังจับตามอง นั่นเพราะว่ารายละเอียดหรือ detail ของเรื่องนี้ มันเยอะแล้วเปี่ยมไปด้วยคุณภาพจริงๆ 

คุณจะได้อินไปกับการใช้ชีวิตของเมสัน ปัญหาครอบครัว ความรัก ความเศร้า ความรู้สึกในช่วงเวลาต่างๆตั้งแต่เด็กน้อย ยันหนุ่มวัยรุ่น บางครั้งอาจตรงกับชีวิตของใครหลายคนอย่างไม่น่าเชื่อ ทุกช่วงเวลาที่คุณได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณจะรู้สึกเหมือนคุณได้มีส่วนรวมในทุกการกระทำของเด็กชายคนนี้ คุณได้เห็นพัฒนาการของเขา จนคุณแทบรู้สึกว่า เราคือส่วนหนึ่งของเขา


เนื้อเรื่องเป็นไปอย่างน่าสนใจ เรียบง่าย และลึกซึ้ง หนังเรื่องนี้มีความยาวกว่า 2 ชั่วโมง 45 นาที ยาวพอๆกับ Transformers 4: Age of Extinction เลยล่ะ แต่ด้วยความที่เป็นหนังคนละแนว คุณอาจจะไม่ได้สนุกไปกับฉากแอคชั่นที่จะมาฆ่าเวลาคุณไปอย่างรวดเร็ว แต่คุณจะได้รับความเพลิดเพลิน ชีวิตที่น่าสนใจ ชีวิตที่มีปัญหา และมีทางออก จนมันฆ่าเวลาของคุณเร็วยิ่งกว่าฉากแอคชั่นเสียอีก

เราจะได้รับรู้ชีวิตของเด็กคนนึง ที่ค่อยๆเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาครอบครัว ปัญหาความรัก ปัญหาวัยรุ่น สิ่งพวกนี้ ทุกคนล้วนต้องเจอ เราอาจจะไม่ได้เจอในสิ่งเดียวกับที่ตัวละครเจอ แต่เราก็รับรู้ได้ถึงการถ่ายทอด และเจตนารมณ์ของผู้กำกับ 

คุณจะรู้สึกตื่นเต้นเสมอ (แต่อาจไม่ทุกคน) ที่จะได้เห็นการเติบโตของตัวละครแต่ละตัว เพราะนักแสดงที่มาแสดง ไม่ต่างอะไรกับนักแสดงแฮรี่ พอตเตอร์ที่เติบโตขึ้นทุกภาค เพียงแต่เรื่องนี้มีภาคเดียว และจะไม่มีทางมีภาคต่อ ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนช่วงเวลา ผมจะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นตัวละครแต่ละตัวมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพี่สาวของตัวเอก หรือเมสัน ผมอยากรู้ว่าเธอจะสวยขึ้นแค่ไหน แต่ท้ายสุดก็ไม่พลาดแนวที่คิดไว้ (5555) บางตัวละครทำผมอึ้งกับความหล่อเหลาเมื่อใกล้ช่วงวัยรุ่น ถึงกับต้องอุทานขณะนั่งดูกับพี่ชายว่า เฮ้ย ทำไมมันหล่อจังวะ 

 


ถ้ามันเป็นภาพยนตร์ที่เปลี่ยนตัวนักแสดงละก็ มันคงเปลี่ยนหลายคนอยู่เหมือนกัน เพราะภาพยนตร์ที่เปลี่ยนนักแสดงส่วนใหญ่ก็จะมีช่วงเวลาเพียงไม่กี่ช่วง และเมื่อข้ามช่วงไป ก็จะผ่านไปหลายปี เช่นผ่านไป 5 ปีบ้าง 10 บ้าง 20 บ้าง แต่เรื่องนี้ จะค่อยๆเปลี่ยนที่ละน้อยๆ 1 ปีบ้าง 2 ปีบ้าง ทำให้รายละเอียดในตัวภาพยนตร์นั้นเยอะมากๆ แต่ทุกช่วงปี จะมีจุดที่บ่งบอกเสมอว่า กำลังอยู่ในปีอะไร โดยใช้หลักความเป็นจริงในยุคนั้นๆมาเสนอ

ถ้าได้ metascore 100/100 ขนาดนี้ คงไม่ต้องถามว่าตัวละครแต่ละตัวแสดงดีไหมแล้วล่ะมั้งครับ เพราะผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ทุกคนมีความสามารถ ไม่ว่าเธอคนนั้นจะเป็นตัวประกอบ ตัวเด่น หรือตัวที่่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกคนแสดงได้ดี และทำให้รู้สึกว่า เราไม่ได้เพียงแค่ดูหนัง แต่เรากำลังดูชีวิตของคนๆหนึ่งจริงๆ

การถ่ายทำสถานที่ต่างๆอาจจะเน้นธรรมดาไปบ้าง แต่ก็มีที่สวยๆให้เห็นอยู่ร่ำไป ชีวิตคนเราจะให้ไปที่สวยๆงามๆตลอดเวลาก็คงไม่ใช่

สีฟิล์มเสมอกันตลอดทั้งเรื่อง นี่คือสิ่งที่ผมชอบ แม้มีการเปลี่ยนยุคสมัย แต่มันไม่ได้สร้างความขัดแย้งในจุดนี้ขึ้นมาเลย 

ซาวน์แทร็กเรียกได้ว่าเพราะทุกเพลงครับ ดีมากๆ ดีจริงๆ 

และที่สำคัญ หนังเรื่องนี้ให้แนวทางในการใช้ชีวิต สอนให้คุณรู้จักชีวิต โดยที่คุณจะได้รับประสบการณ์ดีจากหนังเรื่องนี้แน่นอน 299.- ไม่มีคำว่าแพงเกินไปสำหรับหนังเรื่องนี้ เมื่อคุณซื้อมา คุณจะไม่มีทางเสียใจ (บวกกับพอดีพี่ซื้อด้วย 555)


Mad Score! : 9.5/10
ได้ใจไปแล้วทั้งใจ

 

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(Review) FLIPPED (2010) - หวานนักวันรักแรก - หนังรักที่ทำให้ตกหลุมรักอย่างฉุดไม่อยู่


FLIPPED
หวานนักวันรักแรก

ภาพยนตร์รัก ที่จะทำให้หัวใจของคุณกระชุ่มกระชย
ถ้าถามว่ารู้จักหนังเรื่องนี้ได้อย่างไร ต้องบอกก่อนเลยว่าผมไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของมันมาก่อน อาจเป็นเพราะในปีที่หนังเรื่องได้ฉาย ผมไม่ได้มีความสนใจในเรื่องของภาพยนตร์เลย แต่แล้ววันนึงพี่ผมก็ฝากซื้อหนังเรื่องนี้ แล้วมันก็ไม่ดูสักที ผมเลยหยิบมาดูซะเลย



หนังเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในหนังที่ผมดูแล้วหาข้อติไม่ออกเลย แต่การรีวิวของผมก็ต้องเค้นมันออกมาให้ได้ แม้ที่ติของมันจะมีอยู่น้อยนิดก็ตาม ไม่รู้เพราะผมลำเอียงรึเปล่า แต่หัวใจของผมมันเต้นในจังหวะรัก (เหมือนเพลงพี่บี้) ดูหนังแนวเด็กๆรักกัน ครั้งสุดท้ายคงจะแฟนฉัน (โอ้โห โคตรนาน) ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า คำติของเรื่องนี้มันจะเบาบางมาก และแนะนำว่าคะแนน Imdb หรือ metascore จะทำอะไรคุณไม่ได้ ถ้าคุณได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ...


จะขอพูดถึงแนวเรื่องก่อนเลยละกัน เนื้อเรื่องของเรื่องนำเสนอได้ไม่เหมือนใคร คือนำเสนอมุมมองของทั้งตัวเอกชาย และ หญิง เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์จะได้เห็นฝั่งชายและฝั่งหญิงคิดอย่างไร ด้วยการนำเสนอแบบนี้ ทำให้ตัวหนังไม่น่าเบื่อ และน่าติดตามจนจบเอามากๆ

เนื้อเรื่องคร่าวๆ สาวน้อยจูลี่ ตกหลุ่มรักหนุ่มน้อยไบรซ์ตั้งแต่แรกพบ ไบรซ์ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหม่ตรงกันข้ามกับบ้านของเธอ นั่นทำให้เธอตกหลุมรักเขาแต่แรกพบ แต่ไบรซ์เองก็ไม่ได้แน่ใจอะไร เวลาผ่านไปทำให้หัวใจของทั้งสองเริ่มผันแปร ความรักที่น่ารักบังเกิด ตามสเต็ปพ่อแง่แม่งอน เป็นหนังครอบครัวที่คุณจะต้องจดจำ ความโรแมนติคสไตล์เด็กที่กำลังเข้าช่วงวัยรุ่น และความดราม่าอ่อนๆที่จะทำให้คุณหลงรัก



เนื้อเรื่องย้อนไปในยุค 50's ปลายๆ จนถึง 60's ต้นๆ มันคือช่วงเด็กและช่วงวัยรุ่นนั่นเอง หนังนำเสนอได้คลาสสิค สีฟิล์มแบบยุคเก่า การเปลี่ยนทรานซิชั่นแบบบ้านๆแต่คลาสสิค นั่นทำให้หนังเรื่องนี้ดูเรียบๆ แต่น่าสนใจ

หลายคนคงไปเซิร์ชหาใน Wikipedia และ Imdb จะสังเกตได้ว่า Box Office ค่อนข้างขาดทุน (ไม่แหละ ขาดทุนเลยในอเมริกาแต่ทั่วโลกไม่รู้) คะแนนจากผู้ชมค่อนข้างสูง แต่คะแนน Metascore เรียกได้ว่าน้อยมาก ก็ไม่แปลก เพราะตัวหนังมันเน้นความน่ารัก ไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรมากมาย

ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม theme ของเรื่องถึงได้นำเสนอปี 50's-60's ทั้งที่มันก็ไม่ได้สำคัญว่ามันจะอยู่ในยุคไหนด้วยซ้ำไป เนื้อเรื่องแบบนี้จะเอามาใส่ในปี 2010 ที่หนังจะฉายก็ได้ เพราะไม่ได้จุดที่เชื่อมมาสู่ปีปัจจุบัน แต่ผู้สร้างอาจจะชอบยุคนั้น เลยเลือกเอามาใส่ก็เป็นได้ 

สังเกตได้จากบ้านอารมณ์คลาสสิค จอทีวีเก่าขลัง


รายละเอียดของหนังที่บ่งบอกว่าเป็นยุคนี้ก็ใส่เข้ามาประปราย เรียกได้ว่าไม่ได้เน้นกับยุคของตัวเองเลย ทำให้เราไม่เห็นความสำคัญของช่วงเวลาที่นำเสนอ จนบางทีตอนที่ดูก็ไม่ได้สนใจเลยว่าอยู่ในปีไหน แค่มีไปงั้นๆมากกว่า

อารมณ์ตอนดูหนังเรื่องเรียกได้ว่าชอบมาก จากที่อาทิตย์นี้หมดอารมณ์ดูมาทั้งอาทิตย์ ดูหนังก็ไม่ค่อยจะจบสักเรื่อง พอมาดูหนังแนวนี้ ไม่ต้องคิดมาก มันน่ารัก และทำให้ผมอยากมีความรักขึ้นมาเลย รูปแบบการเสนอความคิดของทั้งสองฝ่ายสลับไปมา เปลี่ยนมุมมองไปมา นี่แหละ ที่มาของชื่อเรื่อง "FLIPPED" (ซึ่งแปลว่า พลิก) ตัวหนังพลิกมุมมองไปมา ทำให้เราได้เข้าใจความคิดของทั้งสองฝ่าย ว่าในแต่ละสถานการณ์ ทั้งสองคนคิดยังไงแบบไหน เพราะความแหวกแนวตรงนี้ เลยทำให้ผมไม่เบื่อ (อาจจะมีเรื่องอื่นทำมาก่อนแล้ว แต่ก็น้อยเรื่องที่จะทำแบบนี้) 

ความดราม่าของเรื่องมีแซมเข้ามาเล็กน้อยในเรื่องของปัญหาครอบครัว มันไม่ใช่ปัญหาที่หนักหน่วง แต่ก็พอทำให้เข้าใจลึกซึ้งในเรื่องแบบนี้ เรียกได้ว่ามันถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีพอสมควร

ในจุดรายละเอียดต่างๆถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นความคิดของเด็กสาวและชายหนุ่ม ว่าเขาควรจะคิดอย่างไร บวกกับตัวหนังที่มีความยาวที่เหมาะสม เพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที ทำให้ตัวเรื่องรวบรัดและไม่ยืดเยื้อ 



เพียงแค่ผมได้ดู มันก็คงจะประทับใจไปอีกนาน ผมขอแนะนำให้ไปหามาดูสักครั้ง และคุณจะต้องชอบ มันอาจไม่ทำคุณอินเท่าหนังรักบ้านเรา เพราะเป็นวัฒนธรรมที่คุ้นเคย แต่หนังเรื่องนี้จะทำคุณตกไปอยู่ในห้วงของความรัก และความน่ารักอย่างแน่นอน

Mad Score! : 7.5/10
ดูแล้วใจอบอุ่น กลิ่นหอมกรุ่นฟุ้งหัวใจ  
   

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

(Review) Magic in the Moonlight รักนั้นพระจันทร์ดลใจ


Magic In The Moonlight
รักนั้นพระจันทร์ดลใจ

ภาพยนตร์ที่ได้นักแสดงชื่อดัง แต่ทำไมหนาทำไม มันถึง "แป้ก"
ต้องขอเกริ่นก่อนเลยครับ เนื่องจากวันนี้แดดแรงแสงดี มีกำลังใจจะดูหนังมาก วันนี้เลยเช็ครอบหนังของสกาล่า บังเอิญเรื่องนี้เข้าฉาย เราเองก็ไม่รู้จะดูอะไร โอเค เรื่องนี้ Emma Stone เล่น ต่อให้หนังมันห่วย อย่างน้อยเราก็ชอบนางเอกแหละวะ!!

หลายคนถาม เอ๊ะ นี่มันหนังแนวไหนกันล่ะหว่า โรแมนติค ดราม่า คอมเมดี้ ผมขอตอบตรงนี้เลยนี้เลยครับ ว่ามันมีทุกอย่าง แต่มันไปไม่สุดเลย "สักกะทาง" มันจะโรแมนติค มันก็โรแมนติคไม่สุด มันจะดราม่า มันก็ไม่รู้สึกอินซะเลย มันคอมเมดี้ มันก็ไม่ได้มีมาให้ขำบ่อยนัก

แต่คือความรู้สึกที่มีหนังเรื่องนี้คือ "รู้สึกดี" เรามาหาข้อดีข้อเสียของหนังเรื่องนี้กันดีกว่า


จะเริ่มติชมเลยก็รีบไป จะอ่านรีวิวมันก็ต้องอ่านพล็อตก่อนถูกไหม? 


เรื่องราวของ “สแตนลี่ย์” ( โคลิน เฟิร์ธ ) หนุ่มนักมายากลชาวอังกฤษ ที่มีอีกอาชีพคือการเปิดโปงนักต้มตุ๋น  เขาได้รับคำขอร้องจากเพื่อนให้เดินทางไปที่คฤหาสน์หรูทางใต้ของฝรั่งเศส เพื่อเปิดโปง “โซฟี” ( เอ็มม่า สโตน ) หญิงอเมริกันที่อ้างว่าสามารถติดต่อกับวิญญาณได้ สแตนลี่ย์พยายามเข้าไปตีสนิทกับโซฟี เพื่อจะจับพิรุธได้แบบคาหนังคาเขา แต่ยิ่งเขารู้จักเธอมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเชื่อในสิ่งที่เธอกล่าวอ้าง และยิ่งไปกว่านั้น เหมือนว่าเขากำลังจะตกหลุมรักเธอซะด้วย…ไม่รู้ว่าเพราะบรรยากาศชวนฝันของ เมืองตอนใต้ของฝรั่งเศส เพราะสเน่ห์ในตัวเธอ หรือจะเพราะพระจันทร์มาดลใจ….นำแสดงโดย “เอ็มม่า สโตน” จาก The Amazing Spiderman และ “โคลิน เฟิร์ธ” จาก Love Actually

 cr. Major Cineplex
(ถ้าจะถามว่าทำไมต้องไปของเขามา กลัวว่าเขียนเองมันจะสปอย)


เอาล่ะ มาเริ่มดูวิจารณ์กันเลยดีกว่า

เนื้อเรื่องของเรื่องนี้เป็นพล็อตแบบบ้านๆ ธรรมดาๆ ที่แฝงไปด้วยความน่าสนใจ เหตุที่ผมมาดูหนังเรื่องนี้เพราะอะไร? ไม่ใช่เพราะ Emma Stone เพียงคนเดียวแน่นอน ผมเองก็เคยดูผลงานของ Colin Firth มาก่อนในเรื่อง Love Actually บทบาทของเขาในเรื่อง เรื่องของเป็นเรื่องที่ผมชอบมากที่สุด เมื่อทั้งสองมาพบกัน มันก็ดูน่าสนใจ บวกกับตัวเรื่องที่น่าจะเป็นหนังที่ไม่น่าจะต้องคิดอะไรเยอะเวลาดู ผมจึงเสีย 80 บาท (เหมือนจะเยอะ 555) แล้วเดินเข้าโรง

ต้องขอบอกก่อนว่าไม่ทัน 10 นาทีแรก เพราะวิ่งไปไม่ทัน คิดว่ามันจะโฆษณานานกว่านี้เลยชะล่าใจ แต่มันก็ไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ เลยทำให้ยังดูหนังรู้เรื่องอยู่

เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ ดำเนินไปแบบสบายๆ ไม่เครียด ก็อย่างว่าข้างต้นแหละครับ มันเป็นหนังที่ทำให้รู้สึกดี เพราะด้วยเสียงเพลงแจ๊ส และเสียงดนตรีแบบสมัยเก่า ทำให้หัวใจของผมมันกระชุ่มกระชวยไปกับการดู แต่แค่เพลงมันไม่ได้ช่วยให้การดูมันราบรื่นเสียทั้งหมดหรอกนะครับ เนื้อเรื่องเองก็สำคัญ

เพราะเนื้อเรื่องที่ไม่ไปสักทางของเรื่องนี้ ทำให้ผมหัวเสีย ผู้กำกับใส่รายละเอียดกับเนื้อเรื่องน้อยเกินไป จนทำให้บางฉากที่ควรจะได้อารมณ์มากกว่านี้ มันก็ไม่ได้ มันกึ่งๆทำให้แอบๆขัดใจ เนื้อเรื่องต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเวลาของหนังที่มีเพียงชั่วโมงครึ่งกว่าๆ แต่จะบอกว่าถ้านานขึ้นมันจะดีขึ้นเหรอ ตอบได้ว่า "ไม่เลย" ถ้ามันนานกว่านี้ จะยิ่งน่าเบื่อหนักเข้าไปอีก ชั่วโมงครึ่งกว่าๆนี้ ถือว่ายังน่าเบื่อไปนิดหน่อยด้วยซ้ำไป


ความรักที่รวดเร็ว แต่ยังพอมีเหตุผล ตัวหนังทำให้รุ้ว่าความรักมีความนานอยู่พอสมควร แต่ดันไม่ใส่รายละเอียดให้มากขึ้น แบบที่ว่าพอจะเข้าใจ ว่าทำไมความรักจึงเบิกบาน เอาจริงๆก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดบอกเลย มันก็มี แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรกับมันเท่าไหร่ 

ความดราม่าของหนัง ควรจะเพิ่มให้มากกว่านี้ เพื่อที่ว่าตัวละครบางตัวที่น่าจะมีความสำคัญอยู่บ้างจะได้พอมีบท เนื้อเรื่องมันดำเนินง่ายไป ง่ายจนรู้สึกว่า การจัดการความรักที่ไม่มั่นคง การเปลี่ยนความรู้สึก การจัดการเรื่องยากๆ มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ นี่คือเหตุที่ว่าทำไมผมไม่อินเลย

โรแมนติค ใช่เรื่องนี้มี แต่เป็นความโรแมนติคจางๆ ที่ใส่ความรู้สึกเข้าไปเพียงน้อยนิด ทำให้เราไม่รู้สึกถึงความรู้สึกที่ควรจะได้เวลาดู แต่ก็พอจะทำให้ยิ้มได้ทั้งเรื่อง 



การจะทำเนื้อเรื่องให้ดูน่าสนใจโดยการเปิดเผยความจริงในตอนหลัง ก็ไม่ได้น่าตื่นเต้น อาจเพราะผู้กำกับไม่ได้อยากจะใส่รายละเอียดกับตรงนี้มากเท่าไหร่ เป็นแค่จุดเชื่อมเฉยๆ ซึ่งผมเองก็คาดๆไว้ตั้งแต่แรก 

แสงสีของหนัง มุมกล้อง ทำออกมาได้ดีมากๆ ผมยิ้มตลอดทั้งเรื่องเพราะฉากที่สวยงาม พร็อพที่ตรงสมัย แสงแดดอ่อนๆที่กระทบตาอย่างละไม่ได้ หนังเรื่องมีเสียงเพลงและฉากที่ดี ทำให้ผมประทับใจในจุดนี้ 

โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้ยังคงเป็นหนังที่คุ้มค่ากับเงินในกระเป๋าของคุณ คุณจะไม่เสียดายที่ได้ดู แต่คุณอาจไม่รู้สึกว่ามันพีคเหมือนหนังรักชื่อดังที่คุณเคยดู แต่คุณจะต้องยิ้มเพราะหนังเรื่องนี้ ความน่ารักของ Emma Stone และนิสัยที่ Colin Firth แสดงออกมาได้ดีกับตัวละครนี้
Mad Score! : 5.5/10
คุ้มค่าแก่การดู แต่ไอ้หนู แกยังดีไม่พอ 

วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สวัสดีครับ

สวัสดีครับ คนบ้าหนังทั้งหลาย

แหม่ ชื่อบล็อคก็ไม่ธรรมดาแล้ว เจ้าของบล็อคไม่ธรรมดากว่า

ก็คงไม่ต่างอะไรจากบล็อครีวิวหนังทั่วไป แต่ผมก็จะรีวิวสไตล์ของผมเอง  แล้วสไตล์ผมเองมันดียังไง?

ผมก็ไม่รู้ ก็ดูเอาแล้วกัน

ส่วนตัวผมเองก็ชอบซื้อหนังมาดูเรื่อยๆ ไม่ใช่คนติดตามในโรงตลอดเวลา อาจจะมีหนังนอกกระแสมาบ้างเสียส่วนใหญ่

ใครชอบไม่ชอบยังไงก็ติดตามเอาละกันครับ ห้าห้าห้า

ผมจะพยายามทำให้มันน่าสนใจละกันครับ ละก็บอกอีกอย่างนึงคือ ถ้าขี้เกียจก็ไม่อัพเดทนะครับ แล้วแต่ความขยัน แต่ก็คงลงเรื่อยๆ 555555

ไปละครับ มาอธิบายแค่นี้ก่อน ผลงานก็ตามดูเอา