วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

(Review) Spirits War - ไพรดิบ - หนังไทยไม่ดัง แต่ถ้าลองอ่านบทความนี้สักครั้ง รับรองว่าอยากดู


Spirits War
ไพรดิบ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ คือภาพยนตร์ที่ไร้การพูดถึงเรื่องหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างกับภาพยนตร์อีกหลายๆเรื่องในปีเดียวกัน อย่างเช่นพวก "หมวยจิ้น ดิ้นก้องโลก" หรือ "ศรีธนญชัย555+"
ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ก็กวาดรายได้ไปได้ไม่เท่าไหร่ สักพักก็ถูกถอดออกจากโรงหนัง แต่ถ้าเทียบกับ 2 เรื่องด้านบน ก็ยังถือว่าอยู่ในโรงยาวกว่า หลายคนอาจถามว่าทำไมหนังถึงถูกถอด มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? สาเหตุก็คือ มันไร้ซึ่งการโปรโมท ว่าง่ายๆคือแทบไม่มีการโฆษณา (คือมีเล็กน้อย) ส่วนหนังดีหรือไม่ดีนั้น มาอ่านที่ตัวบทความกันดีกว่าครับ :)
 
พูดได้ว่า ตอนผมเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำใส่ในเว็บ Major Cineplex ผมก็อยากดูเอามากๆ ด้วยความเป็นคนที่ชอบดูหนังไม่เหมือนใคร คือชอบอะไรที่มันมี CG ห่วยๆ แต่มีเยอะ (แต่จะขอบอกว่า CG เรื่องนี้เยอะจริงๆ และจะขอไปสานธยายต่อด้านล่าง รับรองว่าจะต้องแอบชื่นชมมัน) ผมเลยดูตัวอย่างหนังของมันซ้ำไปซ้ำมา แต่ตอนนั้นยังอยู่ที่แดนแฮมเบอร์เกอร์เลยยังดูไม่ได้ พอกลับมาแดนต้มยำกุ้งก็ว่าจะดู แต่ก็ขี้เกียจไปจนมันออกโรง แว็บแรกที่เห็นมันไม่อยู่ในโรงแล้วก็ตกใจมาก อ่าวเฮ้ย!! ออกเร็วจังวะ!! แต่ผมก็รอจนมันออกแผ่น แล้วรีบไปซื้อที่ 7-11 โดยทันที 


ต้องบอกก่อนว่าตัวเจ้าของบล็อคหรือตัวผมนั้น ดูเรื่องนี้ไปกว่า 3 รอบ! (2 รอบแรกดูไม่จบสักที พึ่งมาดูจบวันที่เขียนบทความนี่แหละ 55555)  เพราะงั้น วันนี้เลยตั้งใจดู ม้ากกกก มากกก และผมเองก็มั่นใจด้วยว่า ผมจะเป็นหนึ่งในไม่กี่บล็อค หรือหนึ่งในไม่กี่ที่ ที่มา Review หนังเรื่องนี้ เอาล่ะครับ บ่นมายาวมากๆ ยาวที่สุดในบรรดาบทความที่เขียนมา เรามาเริ่มกันเลยก็แล้วกัน 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ น้อยคนจะรู้จัก แต่ถ้าลองไปดูตัวอย่างหนัง รับรองพวกคุณ อ๋อออ กับนักแสดงแน่นอน เพราะเรื่องนี้นำทัพนักแสดงโดย กอล์ฟ อัครา อมาตยกุล , แพร พิมพ์ลดา ไชยปรีชาวิทย์ , แมน ศุภกิจ ตังทัตสวัสดิ์ หรือแม้กระทั่ง สมชาย ศักดิกุล! (เอาจริงลุงสมชายไม่ค่อยน่าตื่นเต้นหรอก แกโผล่ในหนังไทยบ่อยอยู่แล้ว) แต่ถึงจะเอานักแสดงดีๆมาก็เถอะ บทพูดในหนังมันกลวง บวกกับการแสดงที่ไม่ถึงขั้น เหมือนนักแสดงไม่ค่อยเข้าใจตัวหนัง และไม่รู้จะแสดงออกมายังไง เลยทำให้ตรงนี้โบ๋ไป แต่ก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นดูไม่ได้ แต่มันก็ทำให้อารมณ์เสียในระดับหนึ่ง (แต่ต้องบอกก่อนว่าดาราสมทบหน้าใหม่ที่มาเล่นในเรื่องนี้ก็หน้าตาดีอยู่ 1-2 คน) 


ต้องบอกก่อนว่า ดูหนังเรื่องนี้ ไม่กะเอาพล็อตดีๆอยู่แล้ว เพราะพล็อตเองมันก็ยังสมเหตุสมผลไม่พอ พล็อตจริงๆเลยคือ พ่อพระเอกที่เป็นมนุษย์ไปสมสู่กับแม่พระเอกที่เป็นภูต พระเอกออกเป็นครึ่งคนครึ่งภูตซึ่งน่าอับอาย เนื้อเรื่องมีตัวร้ายที่เป็นภูตแต่แฝงอยู่ในกลุ่มนักบวช (คือเป็นนักล่าภูต) แล้วยุแยงให้มนุษย์กับภูตตีกัน แม่และพ่อของพระเอกถูกตามล่า แม่พระเอกตาย พ่อพระเอกถูกจับตัว (ตอนเริ่มเรื่องไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าโดนจับตัว อยู่ๆก็ข้ามไปเลย มารู้ว่าโดนจับตัวในรูปตอนจบ) พระเอกเลยไปอยู่กับพ่อบุญธรรมซึ่งเป็นพญานาค แล้วเลี้ยงดู อยู่ๆพญานาคก็จำศีล พระเอกต้องไปฆ่าไอ้ตัวร้าย เลยต้องหายามาปลุกพญานาคที่เลี้ยงตัวเองมา แต่ตอนจบจะบอกว่า ขนาดมันไม่จำเป็นต้องไปหายาแล้ว
 มันก็ยังจะไปหา โคตรไร้เหตุผลเลยจริงๆ 


หลายคนเริ่มพูดในใจกันแล้วว่า แกหยุดบ่นแล้วบอกมาสักทีว่า CG มันเป็นยังไง! โอเคครับ ต้องขอบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ใช้ CG ไปกว่า 80% ของตัวหนัง พูดง่ายๆคือฉากที่คุณเห็นแทบทุกฉากใช้ Green Screen ซึ่งในแผ่นของตัวหนังจะมีฉากเบื้องหลังเล็กน้อย (เล็กน้อยมากๆ) ให้ดูกัน ซึ่งเห็นได้ว่า โอ้โห CG เยอะจริงๆ แต่ของบอกก่อนว่าไม่ได้ทำกันแบบง่ายๆกะโหลกกะลาเหมือนของช่อง 7 หรอกนะ มันก็มีเล่นเทคนิคเหมือนกัน มีการเล่นมุมให้ตรง จุดผิดพลาดเรียกได้ว่าน้อย แต่ว่ามันก็ยังดูกิ๊กก๊อกไปอยู่ดี 

มีการเล่นเทคนิคนึงที่ผมชอบมากๆ มันอาจจะไม่ได้อลังการอะไร แต่ผมก็ถือว่ามันคือก้าวใหญ่ๆของวงการหนังไทย คือเจ้าตัวประหลาดที่หัวเป็นสัตว์ประหลาดแต่ตัวเป็นคนที่ผมได้ใส่ภาพไว้ด้านบน ภาพนั้นเขาใช้ CG แต่ส่วนหัว แล้วตัวก็ใช้คนปกติ ซึ่งผมมองว่าเอ้อ ไทยเราทำได้เหมือนเขาละเว้ย เพราะปกติจะใช้ CG แม่_ทั้งตัวไม่สนห่_ไรเลย


แต่ที่บอกไปว่า "เพราะปกติจะใช้ CG แม่_ทั้งตัวไม่สนห่_ไรเลย" ก็ใช่ว่าไม่มีฉากแบบนั้น ดูได้จากภาพด้านบน นั่นคือหนึ่งในฉากอย่างที่ว่าไป คือตอนจบที่พระเอกสู้กับตัวร้าย ทั้งสองแปลงร่างแล้วสู้กัน ฉากนั้นใช้ 3DCG ไปเลย แล้วมันไม่ได้ดูสมจริง แต่มันดูเป็น 3DCG ที่ใช้โปรโมทเกมจีนระบบกากๆที่เห็นกันบ่อยๆในไทย 


ไม่พอแค่นั้น เพราะแค่นั้นคงยังไม่พอ ในเรื่องยังมีการใช้ลายเส้นการ์ตูนในการเล่าเรื่องอีกด้วย นับว่าเป็นการลดทุนแบบง่ายๆไปในตัวเลยทีเดียว ซึ่งเราก็เห็นการทำแบบนี้อยู่บ่อยๆในหนังไทยบางเรื่อง (ซึ่งก็มีหลายเรื่อง) 

แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังคงชอบการทำเรื่องแบบนี้ เพราะไม่ได้เห็นบ่อยๆในวงการหนังไทย ผมเองก็ยังคงรู้สึกดีกับหนังที่ไม่มีอะไร และไม่คิดจะมีอะไรต่อไป แบบนี้เรื่อยๆ สำหรับใครที่อยากซื้อ มีขายอยู่ทั่วไป แผ่นละ 129 บาทครับ หลายคนอาจบอกว่าราคาเท่านี้ซื้อ Mortal Instrument ดีกว่า แต่ต้องขอบอกก่อนว่า คนเราต้องหัดลองของแปลกเพื่อเปิดโลกทัศน์ของตัวเองบ้างครับ 

Mad Score! : 3.75/10
ดูเอาฮาดูได้ อย่าจริงจังเลย

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

(Review) The Tale of Princess Kaguya - จิบลิเป็นอย่างไหน จิบลิก็ยังคงเป็นเช่นนั้น


The Tale of Princess Kaguya
เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่

ภาพยนตร์เรื่องไม่ใหม่ของ Studio Ghibli ที่พึ่งนำมาฉายในบ้านเรา
ด้วยศิลปะการทำภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ดึงดูดคนดูมาตลอด ผมจึงต้องจ่ายเงินอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

หลังจากผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายครั้ง ว่าจะดูก็ไม่ได้ดูสักที เมื่อวานนี้ (15 ม.ค. 57) ผมกับพี่จึงตกลงกันว่าจะดูเรื่องนี้ ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนดูผมเหม่อค่อนข้างบ่อย แต่ผมก็ไม่ได้พลาดรายละเอียดของหนังแม้แต่น้อย เอาล่ะครับ เรามาดูข้อดีข้อเสียกันเลยดีกว่า


มาเกริ่นเรื่องคร่าวๆก่อนละครับ มันเริ่มเรื่องตามตำนาน ก็คือชายตัดไม้ไผ่เข้าไปตัดไม้ในป่า แล้วพบก็หน่อไม้ประหลาด ที่อยู่ๆก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทันใดหน่อไม้ก็เปิดกลีบขึ้นมาพร้อมกับหญิงสาวข้างใน ชายตัดไม้เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สวรรค์ให้มา พร้อมเรียกหญิงสาวว่าเจ้าหญิง เธอเปลี่ยนจากร่างคล้ายตุ๊กตา (ตามรูปภาพด้านบน) เป็นทารก และเติบโตขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว

เรื่องราวดำเนินถึงชีวิตของเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ การพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ ที่น่าทึ่งคือการทำให้เรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ขยายเป็นอนิเมชั่นได้ถึง 2 ชั่วโมง 17 นาที! แต่ความยืดเยื้อของเนื้อเรื่องเองก็ยังมี เช่นเดียวกับตอนที่ผมดู The Wind Rises เมื่อช่วงกลางปี มีความยืดเยื้อที่ทำผมแอบหาว แต่มันก็อุดมไปรวยรายละเอียด ที่แม้จะหาวไปบ้าง ก็หยุดแหกตาดูไม่ได้ 


ลายเส้นที่สร้างมาจากสีน้ำของเรื่องนี้ บางคนอาจมองว่ามันไม่สวยบ้าง ดูรายละเอียดแปลกๆบ้าง ดูลวกๆบ้าง คำพูดเหล่านี้ ต้องลองไปดูเองครับ แล้วจะรู้ว่า ความตั้งใจในการใส่รายละเอียดของเรื่องนี้มันมากมายจริงๆ อนิเมชั่นที่อาจจะดูหยาบของ Studio Ghibli มันคือเอกลักษณ์ที่สวยงาม 

มันไม่จำเป็นต้องลื่นไหลสไลเดอร์เหมือนอนิเมชั่นฝรั่ง แต่เขาจะใส่รายละเอียดกับทุกๆฉาก จนเราไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ได้ มันสื่ออารมณ์ออกมาได้ดี แสงสีของเรื่องกลบความมืดในโรงหนังไปเลย แทบไม่ต้องคิดถึงเลยว่า ตอนนี้ข้างนอกมันกี่โมงแล้ว 


ตอนดูเรื่องนี้ หน้าตาตัวละครบางตัวเห็นแล้วนึกถึงมู่หลานเลยทีเดียว มานั่งดูไปเรื่อยๆ เราก็เริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมบางคนถึงเรียกสตูดิโอนี้ว่า Disney แห่งญี่ปุ่น ถึงมันจะมีบางส่วนที่คล้ายกัน เพราะองค์ประกอบเขาดีเหมือนกัน แต่ผมว่ายังไง Ghibli ก็คือ Ghibli 

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมภาพยนตร์อนิเมชั่นเรื่องนี้ต้องทำให้ยาวด้วยล่ะ? ตอนผมนั่งดูผมก็คิดนะครับ มันตัดให้เหลือชั่วโมงครึ่งก็ได้ หนังมันยังได้ใจความอยู่ ไม่ขาดหายมากจนเกินไป ซึ่งนี่แหละครับ นี่เลย ที่ทำให้หนังเรื่องนี้มันไม่เหมือนใคร เพราะว่ามันใส่รายละเอียดทุกอย่างลงไปเลย คนที่ไม่ได้ชอบดูหนังอะไรขนาดนั้น ไม่ได้สนใจเรื่องรายละเอียด หรือ องค์ประกอบขนาดนั้น ก็อาจจะเบื่อไป แต่ถ้าคุณชอบดูเรื่องรายละเอียด คุณจะตกใจเลยว่า เฮ้ย ทำไมมันใส่เข้าไปเยอะแล้วลงตัวขนาดนี้วะ! ทุกฉากจะถูกขยายตีแผ่มา ให้คุณได้เข้าใจอารมณ์มากที่สุด


เรื่อง Soundtrack ใครที่ดูภาพยนตร์ของค่ายนี้บ่อย จะรู้ว่าหนังมันเน้นความเป็นจริงมากกว่า มันจะได้ใส่เพลงตลอดทั้งเรื่องขนาดนั้น แต่ใส่เรื่องของ Sound Effect ที่สมจริงทุกขั้นทุกตอนมากกว่า แต่ถ้าจะให้พูดถึงเพลงในเรื่องล่ะก็ เพราะมากเลยล่ะ 

แต่ในความลงตัวเอง ก็ยังมีความไม่ลงตัวอยู่บ้าง เราย่อมรู้ๆกันอยู่ว่า เรื่องเล่าหรือนิทาน ความรักจะให้มันโรแมนติคก็คงทำยาก เพราะผมแทบจะไม่เห็นเรื่องไหนมันโรแมนติคแบบลึกซึ้งสักที หรือถ้ามันมี ผมเองก็ยังไม่เคยได้สัมผัส เช่นเดียวกับตอนผมดูหนังจีนที่สร้างมาจากตำนานรักต่างๆนาๆ มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกว่า นี่พวกมึงรักกันง่ายไปไหม แต่เรื่องเจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ ก็ไม่ได้เรียกว่ารักง่าย แต่เหมือนกับเป็นความผูกพันธ์ระหว่างนางเอกกับพระเอก แต่เหมือนเขาจะไม่ได้มาเน้นตรงนี้สักเท่าไหร่ มันจึงทำให้ผมรู้สึกว่า อย่างน้อยถ้าแหกกฎของเรื่องเล่า แล้วใส่ความดราม่าตรงนี้อีกนิดนึง ไม่ต้องไปเน้นมันเยอะเหมือนหนังรักหรอก แค่ทำให้รู้สึกว่าความรักของนิทานมันมีอะไรให้เห็นมากกว่าสิ่งที่คนเขาเล่ามา


ท้ายนี้ต้องขออภัยถ้าผมรีวิวได้ไม่ตรงจุด หรือยังพูดได้ดีไม่พอ อันที่จริงผมก็ดูเรื่อง Ghibli มาพอสมควร แต่ก็ไม่เคยได้ดูจริงจังสักเรื่อง เลยอาจทำให้แผ่หนังเรื่องนี้ออกได้ไม่มาก เอาเป็นว่าขอให้คะแนนเลยแล้วกันครับ

Mad Score! : 7.5/10
คุ้มเงิน คุ้มใจ ไม่เสียดาย